
การทวงหนี้เป็นสิทธิของเจ้าหนี้ตามกฎหมาย แต่การทวงหนี้นั้นจะต้องกระทำอย่างสุจริตและเป็นธรรม ไม่ละเมิดสิทธิของลูกหนี้
ตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 กำหนดว่า การทวงถามหนี้ต้องกระทำตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎหมาย โดยห้ามมิให้ผู้ทวงถามหนี้กระทำการดังต่อไปนี้
- ทวงถามหนี้ที่เป็นเท็จ
- ทวงถามหนี้ในลักษณะที่เป็นการข่มขู่ บังคับ ข่มเหง หรือกระทำการใด ๆ อันเป็นการรังควานลูกหนี้หรือบุคคลในครอบครัวของลูกหนี้
- ทวงถามหนี้ในลักษณะที่เป็นการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับหนี้ของลูกหนี้ต่อบุคคลภายนอกโดยไม่ได้รับความยินยอมจากลูกหนี้
- ทวงถามหนี้ในลักษณะที่เป็นการล่วงละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของลูกหนี้
- ทวงถามหนี้ในลักษณะที่เป็นการหลอกลวงลูกหนี้
- ทวงถามหนี้ในลักษณะที่เป็นการกรรโชกทรัพย์หรือรีดไถเงิน
หากเจ้าหนี้หรือผู้ทวงถามหนี้กระทำการใด ๆ ที่เข้าข่ายการกระทำที่ห้ามมิให้กระทำตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 ลูกหนี้สามารถร้องเรียนต่อคณะกรรมการทวงถามหนี้เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบและลงโทษได้
นอกจากนี้ กฎหมายยังกำหนดให้เจ้าหนี้หรือผู้ทวงถามหนี้ต้องจัดทำบันทึกการทวงถามหนี้ โดยบันทึกการทวงถามหนี้จะต้องระบุรายละเอียดการทวงถามหนี้ เช่น วัน เวลา สถานที่ การติดต่อสื่อสารกับลูกหนี้ เป็นต้น บันทึกการทวงถามหนี้จะเป็นหลักฐานสำคัญในกรณีที่เกิดข้อพิพาททางกฎหมาย
สำหรับวิธีการทวงหนี้ที่ถูกต้องและเหมาะสม มีดังนี้
- ตั้งสติ ใจเย็นเข้าไว้ เพื่อลดความตึงเครียด
- ให้เกียรติลูกหนี้ ไม่ทวงถามหนี้ต่อหน้าผู้อื่น
- เปิดใจคุยกับลูกหนี้เพื่อหาทางออกร่วมกัน
- แจ้งให้ลูกหนี้รับรู้เกี่ยวกับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นหากไม่ชำระหนี้
- ทวงถามหนี้ทั้งทีต้องมีหลักฐาน เช่น สัญญากู้ยืมเงิน ใบเสร็จรับเงิน เป็นต้น
- ส่งจดหมายปิดผนึก หรือ โนติส แจ้งลูกหนี้ถึงภาระหนี้ที่ค้างชำระ
- ใช้กฎหมายเป็นตัวช่วย เช่น การฟ้องร้องคดีแพ่ง
ทั้งนี้ หากลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ เจ้าหนี้อาจพิจารณาให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ เช่น ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ หรือลดยอดหนี้ เป็นต้น เพื่อให้ลูกหนี้มีความสามารถในการชำระหนี้ได้